วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดาวหาง (Comets)

 ดาวหาง (Comets)


 กำเนิดและลักษณะทั่วไปของดาวหาง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดาวหางเป็นซากวัตถุดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่จากสมัยเมื่อระบบสุริยะ ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว และเป็นบริวารอย่างหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับดาวเคราะห์

ประวัติความเป็นมา
     ในปี พ.ศ.2493 นักดาราศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ แจน ออร์ด ( Jan Oort ) เป็นผู้เสนอทฤษฎีว่า
ต้องมีแหล่งที่อยู่ของดาวหางจำนวนหลาย ๆ ล้านดวงอยู่ไกลเลยจากดาวเคราะห์ดวงนอก ของระบบสุริยะออกไป โดยห่างจากดวงอาทิตย์ราว 30,000 หน่วยดาราศาสตร์ จนถึง 1 ปีแสง หรือไกลกว่านั้น จึงเรียกถิ่นที่อยู่ของดาวหางตามความคิดนี้ว่า ดงดาวหางออร์ด(The Oort Cloud)

ลักษณะทั่วไปของดาวหาง      ขณะเมื่ออยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ ดาวหางคล้ายก้อนน้ำแข็งสกปรกของหินและฝุ่นเกาะกัน อยู่ด้วยก๊าซและน้ำที่แข็งตัว โดยทั่วไปแล้วดาวหางมีขนาดใหญ่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อดาวหางเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในระยะวงโคจรของดาวพฤหัสบดี ดาวหางเริ่มอุ่นขึ้น น้ำแข็งรอบนอกระเหิดกลายเป็นก๊าซและฝุ่น เกิดกลุ่มเมฆก๊าซ เป็นบรรยากาศห่อหุ้มขนาดใหญ่ มากจนสามารถครอบคลุมโลกทั้งดวงได้ เรียกว่า โคมา หรือ หัวดาวหาง ล้อมรอบ นิวเคลียส หรือ ใจกลางหัวดาวหาง ซึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งในใจกลางและมีขนาดเล็กเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น 


 นอกจากลมสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์จะทำให้เกิดโคมาขนาดใหญ่แล้วยังทำให้หางดาวหางพัดกระพือออกไปเป็นลำยาว ดวงหางบางดวงอาจมีหางยาวเป็นหลายล้านกิโลเมตร และแม้ว่าดาวหางจะมีทิศทางเคลื่อนที่ไปอย่างไรก็ตาม แต่หางของดาวหางจะหันหนีออกจากดวงอาทิตย์เสมอ เราเห็นดาวหางสว่างขึ้นได้เพราะส่วนที่เป็น อนุภาคของแข็งและฝุ่นสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ กับทั้งอนุภาคก๊าซที่มีประจุไฟฟ้าในหางดาวหางดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์เรืองแสงขึ้น
โครงสร้างของดาวหาง 
     - นิวเคลียส เป็นใจกลางหัวดาวหาง ประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ จำพวก คาร์บอน ( C )ไฮโดรเจน (H) อ๊อกซิเจน (O ) และ ไนโตรเจน (N ) รวมตัวกัน โดยมีน้ำ เป็นองค์ประกอบสำคัญ นอกจากนั้น ยังมีฝุ่นของซิลิกอน แมกนีเซียม และธาตุหนักอื่น ๆ ฝุ่นเหล่านี้รวมตัวกับน้ำแข็งอัดแน่นอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นนิวเคลียสสีดำเหมือนถ่าน

     - โคมา เมื่อดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ รังสีความร้อนทำให้น้ำแข็งบริเวณผิวของนิวเคลียส ระเหิดเป็นไอ ก๊าซและฝุ่นผงจึงขยายตัวเป็นบรรยากาศห่อหุ้มนิวเคลียสไว้กลายเป็นหัวดาวหาง เรียกว่า โคมา

     - หางฝุ่น เป็นก๊าซและฝุ่นพัดกระพือออกจากหัวดาวหาง สะท้อนแสงให้เห็นเป็นหางชนิดสั้นและ มีลักษณะโค้ง มีความเป็นกลางทางประจุไฟฟ้า แรงดันจากรังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ผลัก ให้หางลู่ไปในแนวตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ

     - หางก๊าซ ก๊าซในหางดาวหางทำปฏิกิริยากับลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ ทำให้ก๊าซต่าง ๆ แตกตัว เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า หรือ ไอออน เช่น อนุภาคประจุคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO+) เปล่งแสง สีน้ำเงินในหางก๊าซเคลื่อนที่หนีออกจากดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อวินาที หางก๊าซ มีลักษณะเหยียดตรง และยืดยาวออกไปหลายล้านกิโลเมตร
ภาพถ่ายดาวหาง 2000WM1 ถ่ายโดย Martin George รัฐแทสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย

วงโคจรของดาวหาง
     ดางหางส่วนใหญ่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีสูงและวงโคจรใหญ่มาก เรามีโอกาสเห็น ดาวหางได้เฉพาะเมื่อดาวหางเคลื่อนที่เข้ามาในเขตชั้นในของระบบสุริยะที่โลกอยู่เท่านั้น ดาวหางบางดวงมีวงโคจร ไม่ใหญ่มากนัก เราจึงเห็นดาวหางโคจรกลับมาอีก จัดว่าเป็น ดาวหางคาบโคจรสั้น ส่วนดาวหางที่มีคาบโคจร นานกว่า 200 ปี จัดให้เป็น ดาวหางคาบโคจรยาว

ตัวอย่างดาวหางดวงสำคัญ     ดาวหางแฮลลีย์ (Halley) ดาวหางโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ครบหนึ่งรอบทุกคาบประมาณ 76 ปี จากบันทึกเก่าแก่พบว่า ชาวโลกมีโอกาสสังเกตดาวหางแฮลลีย์โคจรเข้ามาแล้ว 27 รอบ ครั้งหลังสุด คือเมื่อปี พ.ศ.2529 และดาวหางจะกลับมาอีกครั้งต่อไปในปี พ.ศ.2604-2605
ความสำคัญของดาวหาง      นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ดาวหางเป็นซากวัตถุที่เหลือจากการก่อตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มีอายุมากกว่า 4,500 ล้านปี เดินทางมาจากห้วงอวกาศแสนไกลและเย็นจัด ดาวหางจึงน่าจะ ยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่มาก อาจประกอบด้วยอินทรีย์สารที่จำเป็นต่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิต และบางที ดาวหางอาจเป็นตัวนำน้ำมายัง
โลกในยุคแรกเริ่มที่โลกก่อกำเนิดขึ้นก็เป็นได้




วัตถุน้ำแข็งไคเปอร์ (Kuiper Belt)

วัตถุน้ำแข็งไคเปอร์ (Kuiper Belt)


  วัตถุน้ำแข็งเหล่านี้มีวิถีโคจรอยู่ในระนาบใกล้เคียงกับระนาบสุริยวิถี
ที่เหล่าดาวเคราะห์โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ นั่นหมายความว่าระบบสุริยะของเรามีวงแหวนของก้อนน้ำแข็งล้อมรอบอยู่
ก้อนน้ำแข็งแต่ละก้อนโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบรอบทุก ๆ 200-300 ปี

ประวัติความเป็นมา     ในปี พ.ศ.2493 นักดาราศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ แจน ออร์ด ( Jan Oort ) เป็นผู้เสนอทฤษฎีว่า 
ต้องมีแหล่งที่อยู่ของดาวหางจำนวนหลาย ๆ ล้านดวงอยู่ไกลเลยจากดาวเคราะห์ดวงนอก ของระบบสุริยะออกไป โดยห่างจากดวงอาทิตย์ราว 30,000 หน่วยดาราศาสตร์ จนถึง 1 ปีแสง หรือไกลกว่านั้น จึงเรียกถิ่นที่อยู่ของดาวหางตามความคิดนี้ว่า ดงดาวหางของออร์ด เป็นแหล่งที่อยู่ ของ ดาวหางคาบยาว ส่วน ดาวหางคาบสั้น มีวงโคจรเล็กกว่าและเคลื่อนเข้ามาอยู่ในเขต อาณาจักรของระบบสุริยะ น่าจะมาจากแหล่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กว่าดงดาวหางของออร์ด 
วิถีโคจรของวัตถุน้ำแข็งรอบนอกของระบบสุริยะ
วงสีแดงคือ วัตถุน้ำแข็งเล็ก ๆ ประเภทเดียวกับดาวพลูโต
วงสีน้ำเงินคือวัตถุน้ำแข็งไคเปอร์โดยทั่วไปและวงสีดำคือ
วัตถุน้ำแข็งที่ถูกดีดกระเด็นจนมีวิถีโคจรไกลออกไป 
ภาพถ่ายการค้นพบวัตถุน้ำแข็งไคเปอร์
ดวงแรก 1992QB1
-----------------------------------------------------------------------------------------------


ต่อมาในปี พ.ศ.2494 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันเจอราร์ด ไคเปอร์ ( Gerard Kuiper ) เสนอทฤษฎีใหม่ว่า ในอดีตกาลเมื่อดาวหางบางดวงเคลื่อนเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ และผ่านใกล้ดาวเคราะห์ยักษ์ แรงโน้มถ่วงสูง ของดาวเคราะห์ยักษ์จึง "ดูดจับ" 
ดาวหางไว้ และเปลี่ยนวิถีโคจรของดาวหางให้เล็กลง โดยมีถิ่นที่อยู่ อยู่ใน บริเวณอาณาเขตแถบหนึ่ง เลยจากวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป นับเป็น ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ ออกไปราว 30-100 หน่วยดาราศาสตร์ เชื่อว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของดาว
หางคาบสั้น ซึ่งเป็นวัตถุน้ำแข็งเล็ก ๆ จำนวนมากมาย และให้ชื่อเป็นเกียรติว่า วงแหวนไคเปอร์
ปัจจุบัน ทฤษฎีเรื่องวงแหวนหรือแถบวัตถุน้ำแข็งไคเปอร์ ได้รับการยืนยันว่ามีจริง เนื่องจาก ค้นพบวัตถุน้ำแข็งจำนวนมากมายในบริเวณนี้ ดวงแรกที่ค้นพบคือ 1992 QB1 พบเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1992 หรือปี พ.ศ.2535 มีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ราว 37-59 หน่วยดาราศาสตร์ มีการค้นพบวัตถุน้ำแข็งไคเปอร์เพิ่มขึ้นทุกปี นับถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2545 ค้นพบวัตถุดังกล่าว จำนวนมากกว่า 500 ดวงแล้ว เชื่อว่ามีวัตถุน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่า 100 กิโลเมตร อยู่ในแถบวงแหวน ไคเปอร์อย่างน้อย ประมาณ 35,000 ดวง และยังมีขนาดเล็ก ๆ อีกจำนวนมากมาย วัตถุก้อนใหญ่ ที่สุดที่พบในวงแหวนแถบนี้คือ 2000 WR106 มีขนาดราว 900 กิโลเมตร

อุตกาบาต (Meteor)

อุตกาบาต (Meteor)

 ในบางคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส เราอาจเห็นแสงวูบวาบตกลงมาจากฟากฟ้า เรียกกันว่า ดาวตก หรือ ผีพุ่งไต้ แต่ความจริงดาวตกเป็นวัตถุแข็งจำพวกหินหรือเหล็ก ตกเข้าสู่เขต บรรยากาศโลกด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง แรงเสียดสีกับบรรยากาศทำให้ร้อนจัด หลอมตัวเป็นลูกไฟสว่าง มีควันเป็นทางยาว หากวัตถุชิ้นเล็กจะลุกไหม้สว่างกลายเป็นไอสลายไป หมด แต่บางก้อนที่มีขนาดใหญ่จะมีเสียงดังคล้ายเสียงยิงปืนหรือเสียงฟ้าผ่าเมื่อวิ่งผ่านอากาศ
ตกลงมา และหากสลายตัวไม่หมด มักเหลือซากตกลงถึงพื้นโลก เรียกว่า ลูกอุกกาบาต มีขนาด เล็กใหญ่แตกต่างกัน ตั้งแต่น้ำหนักเพียงไม่กี่กรัมจนถึงก้อนหนึ่งหนักหลาย ๆ ตัน 

 อุกกาบาตแบ่งตามลักษณะเนื้อในเป็น 3 แบบ คือ อุกกาบาต ชนิด หิน เหล็ก และ เหล็กปนหิน ส่วนใหญ่ ที่พบเป็นอุกกาบาต ชนิดหิน ก้อนใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ จีหลิง (Jiling) ตกที่อำเภอจีหลิง ประเทศจีน เมื่อ 8 มีนาคม 2519 หนักเกือบ 2,000 กิโลกรัม ส่วนอุกกาบาตชนิดเหล็ก ก้อนใหญ่สุดที่ค้นพบคือ โฮบา เวสท์ (Hoba West) ปริมาตรราว 9 ลูกบาศก์เมตร หนักประมาณ 66 ตัน
ตกกลางป่า ในอัฟริกาตะวันออกเฉียงใต้
อุกกาบาตชนิดหินส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนหินบนโลก และมักสลายตัวเพราะลมฟ้าอากาศ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเป็นลูกอุกกาบาต การวิเคราะห์ทำได้โดยตัดผิวอุกกาบาตให้เรียบ ขัดมันแล้วใช้กรดอย่างอ่อนกัด พบโครงสร้างรูปผลึกปรากฏเห็นชัดบนผิวเรียบนั้น ซึ่งเป็นลักษณะ เฉพาะตัวของอุกกาบาต
--------------------------------------------------------------------------------------
อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่พุ่งชนโลกอย่างแรง ทำให้เกิดหลุมลึกบนพื้นโลกเรียกว่า เครเตอร์ หลุมอุกกาบาตใหญ่ที่สุดบนโลก คือ หลุมแบริงเยอร์ ในรัฐอะริโซนา สหรัฐอเมริกา คาดว่า เกิดจากอุกกาบาตชนิดเหล็กหนักถึง 1 ล้านตัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร ตกกระแทก พื้นโลกเป็นหลุมมหึมา ปากหลุมกว้าง 1,200 เมตร ลึก 170 เมตร ความลึกเท่ากับตึกสูง 40 ชั้นทีเดียว หลุมแบริงเยอร์อายุประมาณ 22,000 ปี (ดังรูปซ้ายมือ)

-------------------------------------------------------------------------------------------------

โครงสร้างภายในของอุกกาบาต
จากดาวอังคาร 
ฝนดาวตกลีโอนิดส์
อุกกาบาต nakhlite 
------------------------------------------------------------------------------------------------

อุกกาบาตตกในประเทศไทย     - ลูกอุกกาบาตนครปฐม ตกที่ตำบลดอนยายหอม เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2466 แตกเป็น 2ก้อนใหญ่ น้ำหนักรวม 32 กิโลกรัม เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน ตั้งแสดงอยู่ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ
     - ลูกอุกกาบาตเชียงคาน ตกที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2524 เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัตถุจากกระแสธารอุกกาบาต ที่เป็นซากเหลือจาก ดาวหางเทมเพล (Tempel ) ที่โลกโคจรตัดผ่านธารอุกกาบาตในช่วงนั้น เป็นประจำทุกปี จึงทำให้เกิดเป็น ฝนดาวตก หรือ ฝนอุกกาบาต ให้เห็นในระยะนั้น มีสมมุติฐานอธิบายกำเนิดของอุกกาบาต ว่าน่าจะมาจากแถบของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่าง วงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี หรืออาจ มาจากดาวหางที่โคจรอยู่ในระบบสุริยะ นอกจากนั้นยังพบอุกกาบาตบางก้อนมีองค์ประกอบ เช่นเดียวกับหินจากดวงจันทร์และหินจาก ดาวอังคารด้วย



อุกกาบาตเป็นวัตถุฟากฟ้าที่สำคัญยิ่งในทางดาราศาสตร์ 
เพราะนอกจากโลกของเราแล้ว อุกกาบาตเป็นสมาชิกในระบบ สุริยะที่ตกผ่านเข้ามาบนโลกให้มนุษย์ได้มีโอกาสจับต้อง และศึกษาค้นคว้าได้โดยตรง

การตรวจสอบพบว่าลูกอุกกาบาตส่วนใหญ่ประกอบด้วยเหล็ก นิเกิล และแร่ธาตุที่ตรวจพบได้
บนโลก จึงสรุปได้ว่าสมาชิก ของระบบสุริยะทั้งปวงประกอบขึ้นจากวัตถุชนิดเดียวกัน
และเมื่อสืบค้นถึงอายุของลูกอุกกาบาต โดยการตรวจสารกัมมันตรังสี พบว่าลูกอุกกาบาต มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับอายุของโลก

     การศึกษาลูกอุกกาบาตจึงจะช่วยให้มนุษย์ได้สืบค้นถึงประวัติความเป็นมาของโลก ดาวเคราะห์ ดวงพิเศษสุดที่เราถือกำเนิดและอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ได้ดีขึ้น

---------------------------------------------------------------------------------------------



เมื่ออุกกาบาตยักษ์ชนโลก


มาถึงวันนี้แล้ว คำถามที่ว่า “เราจะทำอย่างไร ถ้า โลกของเราโดนชนด้วย อุกกาบาตขนาดยักษ์”อาจจะกลายเป็น คำถามที่เชยไปสักนิด แต่เราควรจะเปลี่ยนคำถามนิดหน่อยเป็น “เราจะทำอย่างไร เมื่อ โลกของเราโดนชน ด้วยอุกกาบาตขนาดยักษ์”     ความแตกต่างของคำถามทั้งสองอยู่ที่ คำว่า ถ้า กับ เมื่อ ในคำถามแรกที่ใช้คำว่า “ถ้า” นั้น ยังคงแสดงความเป็นไปได้ในระดับที่ ต่ำกว่าคำถามที่สองที่ใช้คำว่า “เมื่อ” เนื่องจากเป็นคำถามที่สะท้อน อย่างชัดเจนว่า สักวันหนึ่งโลกของเรา ต้องโดนชนแหงๆ
     ทุกวันนี้นักดาราศาสตร์จำนวนมาก กำลังจับตาเฝ้ามองดูท้องฟ้า ส่องหาวัตถุในอวกาศที่มีโอกาส เคลื่อนที่ตัดกับแนวโคจรของโลก ซึ่งหมายถึงมีโอกาสพุ่งเข้าชนโลก จนเกิดหายนะอันยิ่งใหญ่ หากเราพิจารณาจากหลุมอุกกาบาตบนโลกหลายร้อยหลุม รวมกับหลักฐาน ทางธรณีวิทยา เราคงเข้าใจได้ดีว่า ตลอดระยะเวลานับพันล้านปีที่ผ่านมานั้น โลกโดนชนด้วยอุกกาบาตหรือดาวหางจนเกิดการระเบิดรุนแรงขนาดที่ สามารถผลาญป่าทั้งป่า ทำลายสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปมากมาย และนักดาราศาสตร์ เชื่อมั่นว่า แขกที่ไม่ได้รับเชิญจากอวกาศขนาดใหญ่ๆ แบบนี้ยังคงล่องลอย อยู่ในอวกาศ รอวันดีคืนร้ายที่จะมาทักทายเราบนผิวโลก
     ความพินาศที่เราพูดถึงอยู่นี้คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นเป็นแน่ แต่ว่า นับตั้งแต่มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกราว 4 พันล้านปีนี้ ดูเหมือนว่า ถ้าจะมีสายพันธุ์ใดที่จะป้องกันหายนะนี้ได้ก็อาจจะมีเพียงสายพันธุ์มนุษย์ ของเราเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้น

  บางทีอาจจะมีคนตั้งคำถามว่า เราต้องกังวลกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ ตัวอย่างที่น่าจะพูดถึงก็คือ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ค่อนข้าง จะมั่นใจว่า เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อนมีอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งเข้าชนโลก ความรุนแรงนั้นทำให้ไดโนเสาร์ถึงกับต้องสูญพันธุ์ไปจากโลก นี่เป็นเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ที่นานมาแล้ว ถ้าจะหาเหตุการณ์ทำนองนี้ที่ใกล้ๆ กับเราหน่อยก็เมื่อ ประมาณ 49,000 ปีที่แล้ว มีอุกกาบาตที่มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กพุ่งเข้าชนโลก ในบริเวณรัฐอะริโซนาในปัจจุบัน หลักฐานที่ทิ้งไว้เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดหน้าตัด 1.2 กิโลเมตร โดยคาดว่าอุกกาบาตนี้สังหารสิ่งมีชีวิตในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรไปมากมายด้วย

     ใกล้เข้ามาอีกก็ในปี พ.ศ. 2451 อุกกาบาตหิน หรือไม่ก็ชิ้นส่วนจากดาวหาง ได้พุ่งฝ่าบรรยากาศโลกเข้ามาแล้วก็เกิดการระเบิดขึ้นเหนือพื้นดินประมาณ 8 กิโลเมตรที่ทังกัสกาแถบไซบีเรีย ผลก็คือ ป่าที่ราบเป็นหน้ากลอง ไฟที่โหมไหม้ และความตายของสัตว์ป่าในพื้นที่กว่า 1,600 ตารางกิโลเมตร การระเบิดครั้งนั้นรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 10 เมกะตัน!
     เฉียดฉิวเมื่อไม่นานมานี้ก็คือปี พ.ศ. 2539 ที่มีดาวเคราะห์น้อยขนาดกิโลเมตรกว่าๆ พุ่งฝ่าบรรยากาศโลกสูงจากพื้นดินประมาณ 450,000 กิโลเมตร (ไกลในสายตาคน แต่ในทางดาราศาสตร์ก็ไม่ต่างกับการเฉียดไปแค่เส้นผม) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดที่เฉียดเข้ามาใกล้ที่สุดเท่าที่เราเคยสังเกตได้ ประมาณกันว่า ถ้าลูกนี้เกิดระเบิดขึ้นมาก็คงมีความรุนแรงเทียบกับระเบิดจำนวน 5,000 -12,000 เมกะตันนั่นเลย และสิ่งที่ทำให้เราขวัญเสียมากที่สุดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ เราตรวจพบดาวเคราะห์น้อยนี้ได้เพียง 4 วันก่อนหน้าที่มันจะผ่านโลกไปเท่านั้น!


  หลังจากนั้น ระบบตรวจสอบวัตถุที่จะเฉียดมาทักทายกับโลกก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว นักดาราศาสตร์ในอะริโซนา และแคลิฟอร์เนีย กลุ่มเล็กๆ 4 กลุ่ม (ซึ่งนับหัวรวมแล้ว ยังน้อยกว่าพนักงานในร้านฟาสต์ฟู้ดด้วยซ้ำ) ได้ใช้กล้องดูดาวของพวกเขาช่วยกัน เขียนแผนที่ระบุวัตถุในอวกาศที่อยู่ใกล้โลกกันขึ้นมา วัตถุเหล่านี้มีชื่อย่อว่า NEOS : Near Earth Objects
     สิ่งที่เข้าข่ายเป็น NEOS ก็คือ ดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหาง ที่มีแนวทางโคจรตัดกับ แนวโคจรของโลกหรือเข้ามาเฉียดแนวโคจรของโลก ถ้า NEOS เคลื่อนที่ตัดกับ แนวโคจรของโลกโดยที่โลกของเราโคจรไปยังตำแหน่งนั้นพอดี ก็จะทำให้เกิด ความเสียหายกับโลกของเราตั้งแต่ เสียหายเป็นบางส่วน สูญสิ้นอารยธรรม หรือพินาศทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า NEOS ที่ชนเรามีขนาดใหญ่แค่ไหน
     ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มผู้ริเริ่มในการล่าดาวเคราะห์น้อยกลุ่มหนึ่ง ได้รับความร่วมมือจากสถาบันเอ็มไอที, กองทัพอากาศ, ห้องปฏิบัติการลินคอล์น โดยมีเงินทุนสนับสนุนจากเพน-ทากอน พวกเขามีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกล้องดูดาวที่ทำงานร่วมกับดาวเทียมของกองทัพอากาศ กล้องถ่ายภาพ ระดับคุณภาพจากเอ็มไอที รวมทั้งระบบอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ทำให้พวกเขาสำรวจดาวหางและ ดาวเคราะห์น้อย ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ได้อย่างรวดเร็ว และมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพอากาศก็ยังเอาจริงกับเรื่องนี้ต่อไปโดยการส่งดาวเทียมจิ๋ว เพื่อค้นหาดาวเคราะห์น้อยโดยเฉพาะขึ้นไปอีกด้วย
     ทีนี้ถ้าเราเกิดพบดาวหาง หรือดาวเคราะห์น้อยที่ส่อแววว่าจะทำให้เรา เดือดร้อนขึ้นจริงๆ เราจะทำอะไรต่อไป
     อันดับแรก เราต้องหวังไว้ก่อนว่า เราพบมันล่วงหน้าเป็นเวลานานพอ ที่จะให้เราทำอะไรได้ เริ่มจากการส่งยานอวกาศไปสำรวจองค์ประกอบ ของดาวเคราะห์น้อยนั้นว่ามันมีโครงสร้างเป็นอย่างไร เป็นหินหรือโลหะ เนื้อแน่นหรือร่วน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลให้เราตัดสินใจเลือกวิธี ปฏิบัติการได้เหมาะสม (ปฏิบัติการในขั้นนี้จะเหมือนกับปฏิบัติการของ ยานอวกาศเนียร์-ชูเมกเกอร์ ที่กำลังสำรวจดาวเคราะห์น้อยอีรอสอยู่ในเวลานี้)
     ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อลามอส และลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ก็มีแผน (ฝันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ดีๆ ในการจัดการกับ แขกตัวร้ายของเราอยู่หลายแผน พวกเขาอาจจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายมัน ให้เป็นผุยผง ถ้าดาวเคราะห์น้อยมีขนาดเล็ก แต่ถ้าลูกใหญ่ ก็อาจใช้วิธีเบี่ยงเบน ทิศทางการโคจรของมันแทนได้หากมีเวลามากพอ รวมทั้งทำการคำนวณได้อย่าง แม่นยำด้วย แผน-การบางอย่างก็อาศัยยุทธวิธีดั้งเดิมคือการระเบิดล้วนๆ แต่บางแผน ก็จะใช้สมอยึดอุกกาบาตเข้ากับเครื่องยนต์จรวด หรือเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ด้วยแสงอาทิตย์ เพื่อใช้ในการเปลี่ยนวิถีโคจรของดาวเคราะห์น้อย (วิธีการ เปลี่ยนแนวโคจรของดาวเคราะห์น้อย มีให้เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Hammer of God ของ อาเทอร์ ซี. คลาร์ก)
     นับถึงต้นปีนี้ มีการค้นพบ NEOS ขนาดตั้งแต่ 0.9 กิโลเมตร (ใหญ่พอจะ สร้างความเสียหายให้โลกทั้งใบได้) ขึ้นไปเพียงครึ่งหนึ่งของที่คาดกัน (น่าจะมีจำนวน 500-1,000) เท่านั้น เป็นไปได้ว่า ในบรรดาดวงที่เรายังสำรวจ ไม่พบนั้นจะเป็นดวงที่มีเส้นทางโคจรตัดกับโลกอยู่ด้วย และบางทีอาจจะกำลัง พุ่งมาที่โลกอยู่แล้วในตอนนี้ก็ได้ โดยเฉพาะหากมีดาวหางปรากฏตัวขึ้นในทันทีทันใดแล้ว ความตระหนกตกใจก็จะยิ่งรุนแรง เพราะโดยทั่วไป ดาวหางจะมีขนาดใหญ่กว่า แถมยังมีความเร็วในการพุ่งชนมากกว่าดาวเคราะห์น้อยถึงสองเท่า นั่นคือความเสียหายก็จะมีมากกว่าด้วย ดาวหางพวกนี้มักเป็นดาวหางที่มี คาบการโคจรรอบดวง-อาทิตย์นานมาก (ดาวหางเฮล-บอพพ์ก็เป็นหนึ่งใน ดาวหางพวกนี้) เรามักจะเห็นมันก็ต่อเมื่อมันเริ่มปลดปล่อยก๊าซและมวลสาร ออกมาซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อดาวหางเดินทางมาถึงดาวพฤหัสบดี หรืออาจจะเข้ามา ใกล้กว่านั้นก็ได้ ทำให้เรามีเวลาประมาณ 18 เดือนก่อนที่มันจะมาถึงโลก อันเป็นระยะเวลาที่น้อยนิดที่จะป้องกันตัว
     นอกจาก NEOS ขนาดที่ทำลายโลกแล้ว ยังมี NEOS ขนาดเล็กๆ ที่มีอานุภาพในการทำลายระดับเมือง หรือก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ในท้องทะเล อีกมากมาย ซึ่งเราเองก็เพิ่งจะตรวจพบได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของ จำนวนทั้งหมดเท่านั้นเอง
     นั่นก็ทำให้เราวาดภาพในอนาคตได้ว่า อาจจะมีสักวันหนึ่งในขณะที่ เราออกไปเดินเล่นยามเย็น เรากลับเห็นแสงสว่างจ้าขึ้นอย่างฉับพลันที่ขอบฟ้า เพียงเดี๋ยวเดียวเราก็รู้สึกถึงพื้นที่สะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง กัมปนาทปานฟ้าถล่ม แล้วทันใดร่างของเราก็โดนเผาผลาญเป็นธุลีจากอากาศ ที่ร้อนยิ่งกว่าร้อน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้น
     แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับเหตุผลของการเฝ้ามองฟ้า ระแวดระวังวัตถุจากฟากฟ้าที่อยู่ใกล้กับโลกของเรา



ดาวพลูโต (Pluto)

ดาวพลูโต (Pluto)


คาบโคจรดาราคติ : 248.59 ปี 
รัศมีวงโคจรใกล้สุด : 29.73 หน่วยดาราศาสตร์
รัศมีวงโคจรไกลสุด : 49.33 หน่วยดาราศาสตร์
มุมเอียงวงโคจร : 17.1o
เส้นผ่านศูนย์กลางแนวศูนย์สูตร : 2,320 กิโลเมตร
ความแป้น : 
มวล : 0.003 เท่าของโลก
ความถ่วงจำเพาะ : 1.1 
อัลบีโด : 0.3 
แกนเอียง : 118o
คาบการหมุน : 6 วัน 9 ชั่วโมง 16.8 นาที (หมุนถอยหลัง)











ดวงจันทร์บริวาร : 

ชื่อ
ปีที่ค้นพบ
(ค.ศ.)
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กม.)
รัศมีวงโคจร
(พันกิโลเมตร)
ความรี
คาบ
(วัน)
แกนเอียง
(องศา)
Charon19781,18620< 0.0016.3998.8
------------------------------------------------------------------------------------


สัญลักษณ์

 ดาวพลูโต เป็นดาวเคราะห์ที่ไกลที่สุด ในระบบสุริยะจักรวาล มีขนาดเล็กมาก และวงโคจร ก็ต่างไปจาก ดาวดวงอื่นๆ จนเมื่อปี พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999) มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม เสนอให้ดาวพลูโต เป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์น้อย (Asteroid) เท่านั้น
      ดาวพลูโต เป็นดาวเคราะห์ทีอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลที่สุดเป็นลำดับที่ 9 ส่องกล้องค้นพบดาวพลูโตโดย ไคลด์ ทอมบอห์ (Clyde Tombaugh) เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2473 (ค.ศ.1930) เป็นดาวเคราะห์ที่มี ขนาดเล็กที่สุด ในระบบสุริยะ ความรู้เรื่องต่างๆ ของดวงดาวนี้ยังมีความชัดเจนไม่มากนัก เพราะเป็นดาวที่อยู่ห่างจากโลกถึง 38.46 หน่วยดาราศาสตร์ หรือประมาณ 7,400,000,000 กิโลเมตร ซึ่งหากจะส่งยานอวกาศขึ้นไปสำรวจดาวพลูโต จะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 10-15 ปีทีเดียว



ข้อมูลจำเพาะของดาวพลูโต 
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย 5,900 ล้านกิโลเมตร(39.5 a.u.)
ใกล้สุด 4,425 ล้านกิโลเมตร (29.65 a.u.)
ไกลสุด 7,375 ล้านกิโลเมตร (49.28 a.u.)
Eccentricity0.248
คาบการหมุนรอบตัวเอง6 วัน 9 ชั่วโมง 17 วินาที
คาบการหมุนรอบดวงอาทิตย์247.7 ปีบนโลก ด้วยความเร็ว 4.70 กิโลเมตรต่อวินาที
ระนาบโคจร (Inclination)17:15 องศา
แกนเอียงกับระนาบโคจร122:46 องศา
มวล0.0022 เท่าของโลก
เส้นผ่านศูนย์กลาง2,324   กิโลเมตร (โลก 12,756 กิโลเมตร ที่เส้นศูนย์สูตร)
แรงโน้มถ่วง0.04 เท่าของโลก
ความเร็วหลุดพ้น1.18 กิโลเมตรต่อวินาที
ความหน่าแน่น1 ต่อ 2.0 เมื่อเทียบกับน้ำ
ความสว่างสูงสุด+14

------------------------------------------------------------------------------------------



โครงสร้างของดาวพลูโต


 จากการคำนวณ เส้นผ่านศูนย์กลาง ของดาวพลูโตจะมีความยาวประมาณ 2,284 กิโลเมตร และมีมวลเท่ากับ 0.17 ของมวลของโลก ใช้เวลาในการหมุนรอบ ดวงอาทิตย์ ประมาณ 248.5 ปี และหมุนรอบตัวเองประมาณ 6 วัน 9 ชั่วโมงของโลก มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 1 ดวงชื่อ ชารอน (Charon) อยู่ใกล้ดาวพลูโตประมาณ 19,640 กิโลเมตร ค้นพบโดย นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ชื่อ จิม คริสตี (Jim Crysty) เมื่อปีค.ศ. 1978 ดวงจันทร์ชารอน มีขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลาง 1,192 กิโลเมตร ซึ่งเกินกว่าครึ่งของเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพลูโตเพียงเล็กน้อย จึงอาจได้ชื่อว่าเป็น ดาวเคราะห์คู่ เช่นเดียวกับที่โลกคู่กับดวงจันทร์


ดาวพลูโตมีบรรยากาศหรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่ชัด สมบัติทั่วๆ ไปของดาวพลูโต แตกต่างไปจากดาวเคราะห์ ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะ แต่ในความคล้ายคลึงกับสมบัติทางกายภาพ ของดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ โดยเฉพาะคล้าย ดวงจันทร์ไตรตัน (Triton) ของดาวเนปจูนอยู่มาก จึงอาจเป็นไปได้ว่าดาวพลูโต เคยเป็นดวงจันทร์ของ ดาวเนปจูน มาก่อน แต่ได้หลุดออกไปอยู่ในวงโคจรของดวงอาทิตย์แทนที่จะโคจรรอบดาวเนปจูน

หมายเหตุ:
Eccentricity เป็นค่าคงทีของวงโคจร ที่บอกว่าวงโคจรนั้นรีมากหรือน้อย หาได้จาก ระยะห่างของจุด โฟกัสทั้งสอง หารด้วย ความยาวของแกนหลัก ซึ่งวงกลมจะมีค่า Ecc=0 และพาลาโบล่าจะมีค่า Ecc=1
Inclination มุมเอียงที่ระนาบการโคจรของดาวเคราะห์หรือดาวหาง ทำกับระนานอิคลิปติค มีหน่วยเป็น องศา





ดาวเนปจูน (Neptune)

ดาวเนปจูน (Neptune)


คาบโคจรดาราคติ : 164.79 ปี 
รัศมีวงโคจรใกล้สุด : 29.76 หน่วยดาราศาสตร์

รัศมีวงโคจรไกลสุด : 30.36 หน่วยดาราศาสตร์
มุมเอียงวงโคจร : 1.8o
เส้นผ่านศูนย์กลางแนวศูนย์สูตร : 50,538 กิโลเมตร
ความแป้น : 0.026 
มวล : 17.20 เท่าของโลก
ความถ่วงจำเพาะ : 1.8 
อัลบีโด : 0.41 
แกนเอียง : 29.56o
คาบการหมุน : 18 ชั่วโมง 25.9 นาที



ดวงจันทร์บริวาร : 


ชื่อ
ปีที่ค้นพบ
(ค.ศ.)
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กม.)
รัศมีวงโคจร
(พันกิโลเมตร)
ความรี
คาบ
(วัน)
แกนเอียง
(องศา)
Naiad19895448<0.0010.294.74
Thalassa19898050<0.0010.310.21
Despina198915053<0.0010.330.07
Galatea198916062<0.0010.430.05
Larissa1989208 x 178740.0010.550.20
Proteus1989436 x 416 x 402118<0.0011.120.55
Triton18462,7005550.0005.88 R157.35
Nereid194934055130.751360.1427.6
-----------------------------------------------------------------------------------------

 ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกค้นพบ เมื่อปี พ.ศ. 2389 (ค.ศ.1846) โดย Johann Galle และ Heinrich D'Arrest เป็นดาวเคราะห์ ที่ไกลที่สุด ที่มีการส่งยานไปสำรวจ (โดย Voyager) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจมีมหาสมุทร ขนาดมหึมา ปกคลุมผิวดาวดวงนี้อยู่
     เมื่อดาวเนปจูนถูกค้นพบ คนได้วันเส้นทางของมันผ่านอวกาศ การหมุนรอบของดาวเนปจูนมีลักษณะผิดปกติบางคนคิดว่าจะต้องมีดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีกดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ที่ไม่เป็นที่รู้จักอาจอยู่ถัดจากดาวเนปจูน แรงโน้มถ่วงของมันอาจจะดึงไปที่ดาวเนปจูนจึงทำให้การหมุนของมันเปลี่ยนแปลง ในปี 1845 นักดาราศาสตร์สองคนที่ทำงานคนละที่ในอังกฤษและฝรั่งเศสรู้ว่าดาวเคราะห์ดวงใหม่อยู่ที่ใหน ทั้งสองมีความเห็นตรงกัน คนอื่นๆก็เริ่มลงมือศึกษาดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ ในปี 1846 ชาวเยอรมันชื่อ Johann Galle ได้พบโลกใหม่ด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ มันอยู่ในตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์คนอื่นได้ระบุไว้ก่อนแล้ว ดาวเคราะห์ดวงใหม่มีสีน้ำเงินมีชื่อว่าดาวเนปจูนตามชื่อเทพเจ้าแห่งทะเลโรมัน
     ดาวเนปจูนโตเกือบเท่าดาวยูเรนัส มันเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ในระบบสุริยะ มันอยู่ห่างไกลจากโลกมาก จึงทำให้มองเห็นสลัวมาก ดาวเนปจูนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา มันดูคล้ายกับดาวฤกษ์ ยังไม่มียานอวกาศที่เคยไปยังดาวเนปจูน สิ่งที่เรารู้ทั้งหมดก็คือ ดาวเคราะห์ดวงนี้มองเห็นจากโลก ก็เหมือนกับดาวยูเรนัส มีมหาสมุทร น้ำที่ลึกล้อมรอบแกนหินซึ่งอยู่ใจกลางของดาวเนปจูน บรรยากาศของดาวเนปจูนไม่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับดาวยูเรนัส กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นแถบกลุ่มควันขาวที่หมุนรอบดาวเนปจูน บรรยากาศจะเย็นมาก กลุ่มควันประกอบด้วยมีเทนที่แข็ง บางครั้งกลุ่มควันเหล่านี้จะกระจายออกและปกคลุมดาวเนปจูนทั้งดวง อาจมีลมพัดจัดบนดาวเนปจูน ลมเกิดจากอากาศร้อนที่ลอยขึ้น ลมเย็นพัดเข้าไปแทนที่ บนดาวเนปจูน ความร้อนต้องมาจากภายในเพื่อทำให้ลมพัด ในเดือนสิงหาคม ปี 1989 ยานวอเยเจอร์ 2 ได้ไปถึงดาวเนปจูน มันบินผ่านและส่งภาพและการวัดกลับมายังพื้นโลกเราคงมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับดาวเนปจูน ต่อจากนั้น ยานวอเยเจอร์ 2 จะบินออกจากระบบสุริยะตั้งแต่ได้ออกจากโลกไปในปี 1977 ยานอวกาศจะบินผ่านดาวเคราะห์ชั้นนอกสี่ดวง ยังไม่มียานลำใดที่ได้ไปยังดาวเคราะห์ต่างๆมากเหมือนยานวอยาเจอร์
ส่วนโค้งและดาวบริวารของดาวเนปจูน
     หลังจากที่ได้มีการค้นพบว่า ดาวยูเรนัสมีวงแหวน คนเริ่มมองหาวงแหวนรอบๆดาวเนปจูนเขาใช้กล้องโทรทัศน์มองดูดาวเนปจูนเมื่อมันเคลื่อนใกล้ดาวฤกษ์ ถ้าดาวเนปจูนมีวงแหวนมันก็จะผ่านด้านหน้าของดาวฤกษ์ วงแหวนแต่ละวงจะตัดแสงของดาวฤกษ์ชั่วขณะหนึ่ง ในปี 1981 นักคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้เห็นการลิบหรื่ของดาวฤกษ์ ตั้งแต่นั้น คนบางคนได้เห็นการลิบหรื่แต่บางคนไม่เห็นอะไรเลย บางมีดาวเนปจูนอาจมีวงแหวนที่เป็นชิ้นส่วนที่แตกออกเป็นชิ้นๆมันอาจมีส่วนโค้งสั้นๆ แทนที่จะเห็นวงแหวนทั้งวง ส่วนโค้งจะหมุนรอบดาวเนปจูน
ดาวบริวาร
     นักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารสองดวงที่หมุนรอบดาวเนปจูน ดาวดวงหนึ่งมีขนาดเล็กชื่อว่า Neried ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 300 ไมล์ และหมุนรอบห่างจากดาวเนปจูน 3,475,000 ไมล์ ดาวบริวารดวงอื่นๆของดาวเนปจูนคือดาว Triton มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,100 ไมล์เป็นดาวบริวารที่ใหญ่เป็นที่สี่ ดาว Triton อาจมีบรรยากาศ มันอาจมีมหาสมุทรมีเธนและไนโตรเจนมันหมุนรอบดาวเนปจูนโดยห่างจากดาวเนปจูนเป็นระยะทาง 220,625 ไมล์ ดาว Triton หมุนรอบดาวเนปจูนในทิศทางตรงกันข้ามจากดาวบริวารส่วนใหญ่ มันยังเคลื่อนไหวเข้าไกล้ดาวเนปจูนในเวลา 10 ล้าน ถึง 100 ล้านปี มันอาจปะทะกับดาวเนปจูนหรือมันอาจแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆและก่อตัวเป็นรูปวงแหวนขนาดกว้างล้อมรอบดาวเนปจูน
ข้อมูลจำเพาะของดาวเนปจูน
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์4,498,252,900 ก.ม.
30.06896348 A.U.
หมุนรอบตัวเอง0.67125 วัน
หมุนรอบดวงอาทิตย์163.7232045 ปี
เส้นผ่านศูนย์กลาง49,528 ก.ม. (3.883 เท่าของโลก)
ปริมาตร44 เท่าของโลก
มวล1.0244 x 1026 ก.ก.
ความหนาแน่น1760 ก.ก./ม3
ความเร่งที่พื้นผิว1100 ซ.ม./วินาที2
ความเร็วเฉลี่ย5.4778 ก.ม./วินาที
ความเร็วการผละหนี23.71 ก.ม./วินาที
ความรีของวงโคจร0.00858587
ความเอียงระนาบวงโคจร1.76917 องศา
ความเอียงของแกนหมุน29.58 องศา
อุณหภูมิชั้นบรรยากาศ73 องศาเคลวิน
ก๊าซในชั้นบรรยากาศHydrogen (H2) 74%
Helium (He) 25%
CH4


ดาวบริวาร
1. Naiad
2. Thalassa
3. Despina
4. Galatea
5. Larissa
6. Proteus
7. Triton
8. Nereid
------------------------------------------------------------------------------------------






ดาวยูเรนัส(Uranus)

ดาวยูเรนัส(Uranus)


คาบโคจรดาราคติ : 84.01 ปี


รัศมีวงโคจรใกล้สุด : 18.31 หน่วยดาราศาสตร์

รัศมีวงโคจรไกลสุด : 20.07 หน่วยดาราศาสตร์
มุมเอียงวงโคจร : 0.8o
เส้นผ่านศูนย์กลางแนวศูนย์สูตร : 51,119 กิโลเมตร
ความแป้น : 0.030 
มวล : 14.50 เท่าของโลก
ความถ่วงจำเพาะ : 1.3 
อัลบีโด : 0.51 
แกนเอียง : 97.86o
คาบการหมุน : 15 ชั่วโมง 36.0 นาที (หมุนถอยหลัง)


ดวงจันทร์บริวาร :

ชื่อ
ปีที่ค้นพบ
(ค.ศ.)
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กม.)
รัศมีวงโคจร
(พันกิโลเมตร)
ความรี
คาบ
(วัน)
แกนเอียง
(องศา)
Cordelia19862650<0.0010.340.1
Ophelia198630540.0100.380.1
Bianca19864259<0.0010.430.2
Cressida19866262<0.0010.460.0
Desdemona19865463<0.0010.470.2
Juliet19868464<0.0010.490.1
Portia198610866<0.0010.510.1
Rosalind19865470<0.0010.560.3
Belinda19866675<0.0010.620.0
Puck198515486<0.0010.760.31
Miranda19484721290.0031.414.2
Ariel185111581910.0032.520.3
Umbriel185111722660.0054.140.36
Titania178715804360.0028.710.14
Oberon178715245830.00113.460.10
Caliban19971606000-8000high-0.10
Sycorax1997806000-8000high-0.10

--------------------------------------------------------------------------------------------

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกค้นพบ เมื่อปี พ.ศ. 2324 (ค.ศ.1781) โดย William Herschel ชาวอังกฤษ เป็นดาวเคราะห์ ที่มีวงแหวนคล้ายดาวเสาร์ แต่ค่อนข้างจางมาก และเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียว ในระบบสุริยะจักรวาล ที่หมุนรอบตัวเอง โดยทิศตั้งฉาก กับแนวการเคลื่อนที่ รอบดวงอาทิตย์
     ดาวเคราะห์ชั้นนอกดวงต่อไปถัดจากดาวเสาร์ได้แก่ดาวยูเรนัส ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นที่สามในระบบสุริยะ มันมีลักษณะเลือนลาง จะต้องมองดูด้วยกล้องโทรทัศน์เท่านั้นจึงสามารถมองเห็น เราเคยคิดว่ามันเป็นดาวฤกษ์ ในปี 1781 William Herschel ได้ใช้กล้องโทรทัศน์ค้นพบว่า ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ เขาเห็นแผ่นกลมสีเขียวที่ไม่มีรอย ต่อมา นักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารห้าดวง ในปี 1977 ได้มีการพบวงแหวนของดาวยูเรนัส ถึงแม้ว่านักดาราศาสตร์จะใช้กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุด แต่เขาก็ยังไม่สามารถค้นหาอะไรได้มากมายนักเกี่ยวกับดาวยูเรนัสเอง ในปี 1986 ยานอวกาศวอยาเจอร์2 ได้บินผ่านดาวยูเรนัสและได้ส่งภาพที่ชัดเจนของดาวยูเรนัส และวงแหวนตลอดจนดาวบริวารของมันกลับมายังพื้นโลก ในที่สุดเราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับดาวยูเรนัส
โลกของน้ำ
ภาพของดาวยูเรนัสจากยานอวกาศได้อธิบายว่า ทำไมนักดาราศาสตร์จึงไม่สามารถมองเห็นดาวยูเรนัสได้มากนัก ดาวยูเรนัสทั้งดวงปกคลุมด้วยหมอกสีเขียวแก่ ยานวอยาเจอร์ได้พบกลุ่มควันสองสามกลุ่มใต้หมอก แสดงให้เห็นว่าลมกำลังพัดรอบๆดาวยูเรนัสในอัตราความเร็วถึง 440 ไมล์ต่อชั่วโมง บรรยากาศประกอบด้วยแก๊ซไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเธน นักดาราศาสตร์บางคนคิดว่าพื้นผิวของดาวยูเรนัสปกคลุมด้วยมหาสมุทรที่ร้อน เหมือนกับดาวจูปิเตอร์และดาวเสาร์ แต่ประกอบด้วยน้ำร้อนแทนที่จะเป็นแก๊ซ ที่ใจกลางของดาวยูเรนัสจะมีแกนก้อนหินเล็กๆ

ด้านในของดาวยูเรนัส     ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นได้มากนักบนดาวยูเรนัส แต่นักดาราศาสตร์ได้พบสิ่งประหลาดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับดาวยูเรนัส คือดาวยูเรนัสจะเอียงข้าง แกนของมันจะเอียงเพื่อว่าขั้วของมันจะตั้งเกือบอยู่ในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนไหวของดาวยูเรนัส ไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดที่มีลักษณะดังกล่าว เหตุผลที่ดาวยูเรนัสมีการเอียงมากอาจเห็นเพราะว่าครั้งหนึ่งเคยถูกกระแทกโดยดาวเคราะห์น้อย ในขณะที่ดาวยูเรนัสหมุนรอบดวงอาทิตย์ ขั่งข้างหนึ่งจะชี้ไปทางดวงอาทิตย์ ขั้วที่ชี้ไปทางดวงอาทิตย์จะเห็นแสงสว่างของเวลากลางวันเป็นเวลา 22 ปี แล้วด้านนี้จะหมุนไปด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์อยู่ในความมืดอีก 22 ปี ยานวอยาเจอร์พบว่าขั้วมืดจะอบอุ่นกว่าขั้วที่มีแสงสว่างเล็กน้อยไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด



วงแหวนและดาวบริวารของดาวยูเรนัส
     วงแหวนของดาวยูเรนัสมีความมืดมาก ผิดกับวงแหวนที่สว่างของดาวเสาร์ ถ้าไม่มองด้วยกล้องโทรทัศน์ก็จะมองไม่เห็น วงแหวนของดาวยูเรนัสถูกพบโดยหอดูดาวแอร์บอร์นในปี 1977 ซึ่งเป็นยานชนิดพิเศษที่นำกล้องโทรทัศน์ไปด้วย นักดาราศาสตร์บนเครื่องบินเฝ้ามองดูดาวยูเรนัสเมื่อมีดาวฤกษ์เคลื่อนไหวมาตรงข้ามหน้าของมัน ยานวอยาเจอร์ 2 มองดูที่วงแหวนเมื่อมันบินผ่านดาวยูเรนัส วงแหวนของดาวยูเรนัสจะแคบ วงแหวนที่กว้างที่สุดคือช่องว่างที่ใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยก้อนฝุ่น ยานวอเยเจอร์พบส่วนโค้งบางอย่าง ซึ่งเป็นส่วนของวงแหวนที่ไม่สมบูรณ์ วงแหวนของดาวยูเรนัสประกอบด้วยชิ้นน้ำแข็งมืดที่เคลื่อนไหว น้ำแข็งประกอบด้วยมีเทนแข็ง ชิ้นส่วนของมันอาจจะชนกันและทำให้เกิดฝุ่นที่อยู่ในช่องว่างระหว่างวงแหวน

ดาวบริวารที่ประหลาด
     ยานวอยาเจอร์ยังพบดาวบริวารขนาดเล็กสิบดวงที่อยู่รอบดาวยูเรนัสซึ่งไม่เคยพบมาก่อน ทั้งหมดหมุนรอบๆระหว่างวงแหวนและดาวมิแรนดา มิแรนดาเป็นดาวที่อยู่ใกล้ที่สุดของบรรดาดาวทั้งห้าดวงซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว ดาวบริวารเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำแข็งและหิน เป็นดาวบริวารที่แปลกประหลาดที่สุดในระบบสุริยะ ดาวบริวารของดาวยูเรนัสมีหย่อมขนาดใหญ่สีขาวและสีดำ ซึ่งอาจเกิดจากการผสมกันระหว่างน้ำแข็งและแก๊ซแข็ง มีหุบเขาลึกและภูเขาสูงด้วยเช่นเดียวกัน บนดาวมิแรนดาจะมีหน้าผาสูงสิบสองไมล์ นักดาราศาสตร์คิดว่าครั้งหนึ่งมิแรนดาอาจแตกเป็นส่วนๆต่อมา ชิ้นส่วนเหล่านี้กลับเข้ามาประกบอีกเหมือนก่อน



ข้อมูลจำเพาะของดาวพุธ
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์2,870,972,200 ก.ม.
19.19126393 A.U.
หมุนรอบตัวเอง0.71833 วัน(หมุนกลับหลัง)
หมุนรอบดวงอาทิตย์83.74740682 ปี
เส้นผ่านศูนย์กลาง51,118 ก.ม. (4.007 เท่าของโลก)
ปริมาตร52 เท่าของโลก
มวล8.6849 x1025 ก.ก.
ความหนาแน่น1300 ก.ก./ม3
ความเร่งที่พื้นผิว869 ซ.ม./วินาที2
ความเร็วเฉลี่ย6.8352 ก.ม./วินาที
ความเร็วการผละหนี21.29 ก.ม./วินาที
ความรีของวงโคจร0.04716771
ความเอียงระนาบวงโคจร0.76986 องศา
ความเอียงของแกนหมุน97.86 องศา
อุณหภูมิชั้นบรรยากาศ76 องศาเคลวิน
ก๊าซในชั้นบรรยากาศH2, He, CH4
ดาวบริวาร1. Cordelia
2. Ophelia
3. Bianca
4. Cressida
5. Desdemona
6. Juliet
7. Portia
8. Rosalind
9. Belinda
10. Puck
11. Miranda
12. Ariel
13. Umbriel
14. Titania
15. Oberon
16. Caliban (97U1)
17. Sycorax (97U2)
18. 1986 U10
19. S/1999 U1
20. S/1999 U2
21. S/1999 U3