อุตกาบาต (Meteor)
ในบางคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส เราอาจเห็นแสงวูบวาบตกลงมาจากฟากฟ้า เรียกกันว่า ดาวตก หรือ ผีพุ่งไต้ แต่ความจริงดาวตกเป็นวัตถุแข็งจำพวกหินหรือเหล็ก ตกเข้าสู่เขต บรรยากาศโลกด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง แรงเสียดสีกับบรรยากาศทำให้ร้อนจัด หลอมตัวเป็นลูกไฟสว่าง มีควันเป็นทางยาว หากวัตถุชิ้นเล็กจะลุกไหม้สว่างกลายเป็นไอสลายไป หมด แต่บางก้อนที่มีขนาดใหญ่จะมีเสียงดังคล้ายเสียงยิงปืนหรือเสียงฟ้าผ่าเมื่อวิ่งผ่านอากาศ
ตกลงมา และหากสลายตัวไม่หมด มักเหลือซากตกลงถึงพื้นโลก เรียกว่า ลูกอุกกาบาต มีขนาด เล็กใหญ่แตกต่างกัน ตั้งแต่น้ำหนักเพียงไม่กี่กรัมจนถึงก้อนหนึ่งหนักหลาย ๆ ตัน
ตกลงมา และหากสลายตัวไม่หมด มักเหลือซากตกลงถึงพื้นโลก เรียกว่า ลูกอุกกาบาต มีขนาด เล็กใหญ่แตกต่างกัน ตั้งแต่น้ำหนักเพียงไม่กี่กรัมจนถึงก้อนหนึ่งหนักหลาย ๆ ตัน
อุกกาบาตแบ่งตามลักษณะเนื้อในเป็น 3 แบบ คือ อุกกาบาต ชนิด หิน เหล็ก และ เหล็กปนหิน ส่วนใหญ่ ที่พบเป็นอุกกาบาต ชนิดหิน ก้อนใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ จีหลิง (Jiling) ตกที่อำเภอจีหลิง ประเทศจีน เมื่อ 8 มีนาคม 2519 หนักเกือบ 2,000 กิโลกรัม ส่วนอุกกาบาตชนิดเหล็ก ก้อนใหญ่สุดที่ค้นพบคือ โฮบา เวสท์ (Hoba West) ปริมาตรราว 9 ลูกบาศก์เมตร หนักประมาณ 66 ตัน
ตกกลางป่า ในอัฟริกาตะวันออกเฉียงใต้
ตกกลางป่า ในอัฟริกาตะวันออกเฉียงใต้
อุกกาบาตชนิดหินส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนหินบนโลก และมักสลายตัวเพราะลมฟ้าอากาศ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเป็นลูกอุกกาบาต การวิเคราะห์ทำได้โดยตัดผิวอุกกาบาตให้เรียบ ขัดมันแล้วใช้กรดอย่างอ่อนกัด พบโครงสร้างรูปผลึกปรากฏเห็นชัดบนผิวเรียบนั้น ซึ่งเป็นลักษณะ เฉพาะตัวของอุกกาบาต
--------------------------------------------------------------------------------------
อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่พุ่งชนโลกอย่างแรง ทำให้เกิดหลุมลึกบนพื้นโลกเรียกว่า เครเตอร์ หลุมอุกกาบาตใหญ่ที่สุดบนโลก คือ หลุมแบริงเยอร์ ในรัฐอะริโซนา สหรัฐอเมริกา คาดว่า เกิดจากอุกกาบาตชนิดเหล็กหนักถึง 1 ล้านตัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร ตกกระแทก พื้นโลกเป็นหลุมมหึมา ปากหลุมกว้าง 1,200 เมตร ลึก 170 เมตร ความลึกเท่ากับตึกสูง 40 ชั้นทีเดียว หลุมแบริงเยอร์อายุประมาณ 22,000 ปี (ดังรูปซ้ายมือ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() |
โครงสร้างภายในของอุกกาบาต จากดาวอังคาร |
![]() |
ฝนดาวตกลีโอนิดส์ |
![]() |
อุกกาบาต nakhlite |
อุกกาบาตตกในประเทศไทย - ลูกอุกกาบาตนครปฐม ตกที่ตำบลดอนยายหอม เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2466 แตกเป็น 2ก้อนใหญ่ น้ำหนักรวม 32 กิโลกรัม เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน ตั้งแสดงอยู่ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ
- ลูกอุกกาบาตเชียงคาน ตกที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2524 เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัตถุจากกระแสธารอุกกาบาต ที่เป็นซากเหลือจาก ดาวหางเทมเพล (Tempel ) ที่โลกโคจรตัดผ่านธารอุกกาบาตในช่วงนั้น เป็นประจำทุกปี จึงทำให้เกิดเป็น ฝนดาวตก หรือ ฝนอุกกาบาต ให้เห็นในระยะนั้น มีสมมุติฐานอธิบายกำเนิดของอุกกาบาต ว่าน่าจะมาจากแถบของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่าง วงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี หรืออาจ มาจากดาวหางที่โคจรอยู่ในระบบสุริยะ นอกจากนั้นยังพบอุกกาบาตบางก้อนมีองค์ประกอบ เช่นเดียวกับหินจากดวงจันทร์และหินจาก ดาวอังคารด้วย
อุกกาบาตเป็นวัตถุฟากฟ้าที่สำคัญยิ่งในทางดาราศาสตร์
เพราะนอกจากโลกของเราแล้ว อุกกาบาตเป็นสมาชิกในระบบ สุริยะที่ตกผ่านเข้ามาบนโลกให้มนุษย์ได้มีโอกาสจับต้อง และศึกษาค้นคว้าได้โดยตรง
- ลูกอุกกาบาตเชียงคาน ตกที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2524 เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัตถุจากกระแสธารอุกกาบาต ที่เป็นซากเหลือจาก ดาวหางเทมเพล (Tempel ) ที่โลกโคจรตัดผ่านธารอุกกาบาตในช่วงนั้น เป็นประจำทุกปี จึงทำให้เกิดเป็น ฝนดาวตก หรือ ฝนอุกกาบาต ให้เห็นในระยะนั้น มีสมมุติฐานอธิบายกำเนิดของอุกกาบาต ว่าน่าจะมาจากแถบของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่าง วงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี หรืออาจ มาจากดาวหางที่โคจรอยู่ในระบบสุริยะ นอกจากนั้นยังพบอุกกาบาตบางก้อนมีองค์ประกอบ เช่นเดียวกับหินจากดวงจันทร์และหินจาก ดาวอังคารด้วย
อุกกาบาตเป็นวัตถุฟากฟ้าที่สำคัญยิ่งในทางดาราศาสตร์
เพราะนอกจากโลกของเราแล้ว อุกกาบาตเป็นสมาชิกในระบบ สุริยะที่ตกผ่านเข้ามาบนโลกให้มนุษย์ได้มีโอกาสจับต้อง และศึกษาค้นคว้าได้โดยตรง
การตรวจสอบพบว่าลูกอุกกาบาตส่วนใหญ่ประกอบด้วยเหล็ก นิเกิล และแร่ธาตุที่ตรวจพบได้
บนโลก จึงสรุปได้ว่าสมาชิก ของระบบสุริยะทั้งปวงประกอบขึ้นจากวัตถุชนิดเดียวกัน
และเมื่อสืบค้นถึงอายุของลูกอุกกาบาต โดยการตรวจสารกัมมันตรังสี พบว่าลูกอุกกาบาต มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับอายุของโลก
การศึกษาลูกอุกกาบาตจึงจะช่วยให้มนุษย์ได้สืบค้นถึงประวัติความเป็นมาของโลก ดาวเคราะห์ ดวงพิเศษสุดที่เราถือกำเนิดและอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ได้ดีขึ้น
---------------------------------------------------------------------------------------------
บนโลก จึงสรุปได้ว่าสมาชิก ของระบบสุริยะทั้งปวงประกอบขึ้นจากวัตถุชนิดเดียวกัน
และเมื่อสืบค้นถึงอายุของลูกอุกกาบาต โดยการตรวจสารกัมมันตรังสี พบว่าลูกอุกกาบาต มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับอายุของโลก
การศึกษาลูกอุกกาบาตจึงจะช่วยให้มนุษย์ได้สืบค้นถึงประวัติความเป็นมาของโลก ดาวเคราะห์ ดวงพิเศษสุดที่เราถือกำเนิดและอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ได้ดีขึ้น
---------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่ออุกกาบาตยักษ์ชนโลก
มาถึงวันนี้แล้ว คำถามที่ว่า “เราจะทำอย่างไร ถ้า โลกของเราโดนชนด้วย อุกกาบาตขนาดยักษ์”อาจจะกลายเป็น คำถามที่เชยไปสักนิด แต่เราควรจะเปลี่ยนคำถามนิดหน่อยเป็น “เราจะทำอย่างไร เมื่อ โลกของเราโดนชน ด้วยอุกกาบาตขนาดยักษ์” ความแตกต่างของคำถามทั้งสองอยู่ที่ คำว่า ถ้า กับ เมื่อ ในคำถามแรกที่ใช้คำว่า “ถ้า” นั้น ยังคงแสดงความเป็นไปได้ในระดับที่ ต่ำกว่าคำถามที่สองที่ใช้คำว่า “เมื่อ” เนื่องจากเป็นคำถามที่สะท้อน อย่างชัดเจนว่า สักวันหนึ่งโลกของเรา ต้องโดนชนแหงๆ
ทุกวันนี้นักดาราศาสตร์จำนวนมาก กำลังจับตาเฝ้ามองดูท้องฟ้า ส่องหาวัตถุในอวกาศที่มีโอกาส เคลื่อนที่ตัดกับแนวโคจรของโลก ซึ่งหมายถึงมีโอกาสพุ่งเข้าชนโลก จนเกิดหายนะอันยิ่งใหญ่ หากเราพิจารณาจากหลุมอุกกาบาตบนโลกหลายร้อยหลุม รวมกับหลักฐาน ทางธรณีวิทยา เราคงเข้าใจได้ดีว่า ตลอดระยะเวลานับพันล้านปีที่ผ่านมานั้น โลกโดนชนด้วยอุกกาบาตหรือดาวหางจนเกิดการระเบิดรุนแรงขนาดที่ สามารถผลาญป่าทั้งป่า ทำลายสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปมากมาย และนักดาราศาสตร์ เชื่อมั่นว่า แขกที่ไม่ได้รับเชิญจากอวกาศขนาดใหญ่ๆ แบบนี้ยังคงล่องลอย อยู่ในอวกาศ รอวันดีคืนร้ายที่จะมาทักทายเราบนผิวโลก
ความพินาศที่เราพูดถึงอยู่นี้คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นเป็นแน่ แต่ว่า นับตั้งแต่มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกราว 4 พันล้านปีนี้ ดูเหมือนว่า ถ้าจะมีสายพันธุ์ใดที่จะป้องกันหายนะนี้ได้ก็อาจจะมีเพียงสายพันธุ์มนุษย์ ของเราเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้น
บางทีอาจจะมีคนตั้งคำถามว่า เราต้องกังวลกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ ตัวอย่างที่น่าจะพูดถึงก็คือ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ค่อนข้าง จะมั่นใจว่า เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อนมีอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งเข้าชนโลก ความรุนแรงนั้นทำให้ไดโนเสาร์ถึงกับต้องสูญพันธุ์ไปจากโลก นี่เป็นเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ที่นานมาแล้ว ถ้าจะหาเหตุการณ์ทำนองนี้ที่ใกล้ๆ กับเราหน่อยก็เมื่อ ประมาณ 49,000 ปีที่แล้ว มีอุกกาบาตที่มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กพุ่งเข้าชนโลก ในบริเวณรัฐอะริโซนาในปัจจุบัน หลักฐานที่ทิ้งไว้เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดหน้าตัด 1.2 กิโลเมตร โดยคาดว่าอุกกาบาตนี้สังหารสิ่งมีชีวิตในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรไปมากมายด้วย
ใกล้เข้ามาอีกก็ในปี พ.ศ. 2451 อุกกาบาตหิน หรือไม่ก็ชิ้นส่วนจากดาวหาง ได้พุ่งฝ่าบรรยากาศโลกเข้ามาแล้วก็เกิดการระเบิดขึ้นเหนือพื้นดินประมาณ 8 กิโลเมตรที่ทังกัสกาแถบไซบีเรีย ผลก็คือ ป่าที่ราบเป็นหน้ากลอง ไฟที่โหมไหม้ และความตายของสัตว์ป่าในพื้นที่กว่า 1,600 ตารางกิโลเมตร การระเบิดครั้งนั้นรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 10 เมกะตัน!
เฉียดฉิวเมื่อไม่นานมานี้ก็คือปี พ.ศ. 2539 ที่มีดาวเคราะห์น้อยขนาดกิโลเมตรกว่าๆ พุ่งฝ่าบรรยากาศโลกสูงจากพื้นดินประมาณ 450,000 กิโลเมตร (ไกลในสายตาคน แต่ในทางดาราศาสตร์ก็ไม่ต่างกับการเฉียดไปแค่เส้นผม) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดที่เฉียดเข้ามาใกล้ที่สุดเท่าที่เราเคยสังเกตได้ ประมาณกันว่า ถ้าลูกนี้เกิดระเบิดขึ้นมาก็คงมีความรุนแรงเทียบกับระเบิดจำนวน 5,000 -12,000 เมกะตันนั่นเลย และสิ่งที่ทำให้เราขวัญเสียมากที่สุดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ เราตรวจพบดาวเคราะห์น้อยนี้ได้เพียง 4 วันก่อนหน้าที่มันจะผ่านโลกไปเท่านั้น!
ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มผู้ริเริ่มในการล่าดาวเคราะห์น้อยกลุ่มหนึ่ง ได้รับความร่วมมือจากสถาบันเอ็มไอที, กองทัพอากาศ, ห้องปฏิบัติการลินคอล์น โดยมีเงินทุนสนับสนุนจากเพน-ทากอน พวกเขามีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกล้องดูดาวที่ทำงานร่วมกับดาวเทียมของกองทัพอากาศ กล้องถ่ายภาพ ระดับคุณภาพจากเอ็มไอที รวมทั้งระบบอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ทำให้พวกเขาสำรวจดาวหางและ ดาวเคราะห์น้อย ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ได้อย่างรวดเร็ว และมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพอากาศก็ยังเอาจริงกับเรื่องนี้ต่อไปโดยการส่งดาวเทียมจิ๋ว เพื่อค้นหาดาวเคราะห์น้อยโดยเฉพาะขึ้นไปอีกด้วย
ทีนี้ถ้าเราเกิดพบดาวหาง หรือดาวเคราะห์น้อยที่ส่อแววว่าจะทำให้เรา เดือดร้อนขึ้นจริงๆ เราจะทำอะไรต่อไป
อันดับแรก เราต้องหวังไว้ก่อนว่า เราพบมันล่วงหน้าเป็นเวลานานพอ ที่จะให้เราทำอะไรได้ เริ่มจากการส่งยานอวกาศไปสำรวจองค์ประกอบ ของดาวเคราะห์น้อยนั้นว่ามันมีโครงสร้างเป็นอย่างไร เป็นหินหรือโลหะ เนื้อแน่นหรือร่วน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลให้เราตัดสินใจเลือกวิธี ปฏิบัติการได้เหมาะสม (ปฏิบัติการในขั้นนี้จะเหมือนกับปฏิบัติการของ ยานอวกาศเนียร์-ชูเมกเกอร์ ที่กำลังสำรวจดาวเคราะห์น้อยอีรอสอยู่ในเวลานี้)
ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อลามอส และลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ก็มีแผน (ฝันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ดีๆ ในการจัดการกับ แขกตัวร้ายของเราอยู่หลายแผน พวกเขาอาจจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายมัน ให้เป็นผุยผง ถ้าดาวเคราะห์น้อยมีขนาดเล็ก แต่ถ้าลูกใหญ่ ก็อาจใช้วิธีเบี่ยงเบน ทิศทางการโคจรของมันแทนได้หากมีเวลามากพอ รวมทั้งทำการคำนวณได้อย่าง แม่นยำด้วย แผน-การบางอย่างก็อาศัยยุทธวิธีดั้งเดิมคือการระเบิดล้วนๆ แต่บางแผน ก็จะใช้สมอยึดอุกกาบาตเข้ากับเครื่องยนต์จรวด หรือเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ด้วยแสงอาทิตย์ เพื่อใช้ในการเปลี่ยนวิถีโคจรของดาวเคราะห์น้อย (วิธีการ เปลี่ยนแนวโคจรของดาวเคราะห์น้อย มีให้เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Hammer of God ของ อาเทอร์ ซี. คลาร์ก)
นับถึงต้นปีนี้ มีการค้นพบ NEOS ขนาดตั้งแต่ 0.9 กิโลเมตร (ใหญ่พอจะ สร้างความเสียหายให้โลกทั้งใบได้) ขึ้นไปเพียงครึ่งหนึ่งของที่คาดกัน (น่าจะมีจำนวน 500-1,000) เท่านั้น เป็นไปได้ว่า ในบรรดาดวงที่เรายังสำรวจ ไม่พบนั้นจะเป็นดวงที่มีเส้นทางโคจรตัดกับโลกอยู่ด้วย และบางทีอาจจะกำลัง พุ่งมาที่โลกอยู่แล้วในตอนนี้ก็ได้ โดยเฉพาะหากมีดาวหางปรากฏตัวขึ้นในทันทีทันใดแล้ว ความตระหนกตกใจก็จะยิ่งรุนแรง เพราะโดยทั่วไป ดาวหางจะมีขนาดใหญ่กว่า แถมยังมีความเร็วในการพุ่งชนมากกว่าดาวเคราะห์น้อยถึงสองเท่า นั่นคือความเสียหายก็จะมีมากกว่าด้วย ดาวหางพวกนี้มักเป็นดาวหางที่มี คาบการโคจรรอบดวง-อาทิตย์นานมาก (ดาวหางเฮล-บอพพ์ก็เป็นหนึ่งใน ดาวหางพวกนี้) เรามักจะเห็นมันก็ต่อเมื่อมันเริ่มปลดปล่อยก๊าซและมวลสาร ออกมาซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อดาวหางเดินทางมาถึงดาวพฤหัสบดี หรืออาจจะเข้ามา ใกล้กว่านั้นก็ได้ ทำให้เรามีเวลาประมาณ 18 เดือนก่อนที่มันจะมาถึงโลก อันเป็นระยะเวลาที่น้อยนิดที่จะป้องกันตัว
นอกจาก NEOS ขนาดที่ทำลายโลกแล้ว ยังมี NEOS ขนาดเล็กๆ ที่มีอานุภาพในการทำลายระดับเมือง หรือก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ในท้องทะเล อีกมากมาย ซึ่งเราเองก็เพิ่งจะตรวจพบได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของ จำนวนทั้งหมดเท่านั้นเอง
นั่นก็ทำให้เราวาดภาพในอนาคตได้ว่า อาจจะมีสักวันหนึ่งในขณะที่ เราออกไปเดินเล่นยามเย็น เรากลับเห็นแสงสว่างจ้าขึ้นอย่างฉับพลันที่ขอบฟ้า เพียงเดี๋ยวเดียวเราก็รู้สึกถึงพื้นที่สะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง กัมปนาทปานฟ้าถล่ม แล้วทันใดร่างของเราก็โดนเผาผลาญเป็นธุลีจากอากาศ ที่ร้อนยิ่งกว่าร้อน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้น
แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับเหตุผลของการเฝ้ามองฟ้า ระแวดระวังวัตถุจากฟากฟ้าที่อยู่ใกล้กับโลกของเรา
ทุกวันนี้นักดาราศาสตร์จำนวนมาก กำลังจับตาเฝ้ามองดูท้องฟ้า ส่องหาวัตถุในอวกาศที่มีโอกาส เคลื่อนที่ตัดกับแนวโคจรของโลก ซึ่งหมายถึงมีโอกาสพุ่งเข้าชนโลก จนเกิดหายนะอันยิ่งใหญ่ หากเราพิจารณาจากหลุมอุกกาบาตบนโลกหลายร้อยหลุม รวมกับหลักฐาน ทางธรณีวิทยา เราคงเข้าใจได้ดีว่า ตลอดระยะเวลานับพันล้านปีที่ผ่านมานั้น โลกโดนชนด้วยอุกกาบาตหรือดาวหางจนเกิดการระเบิดรุนแรงขนาดที่ สามารถผลาญป่าทั้งป่า ทำลายสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปมากมาย และนักดาราศาสตร์ เชื่อมั่นว่า แขกที่ไม่ได้รับเชิญจากอวกาศขนาดใหญ่ๆ แบบนี้ยังคงล่องลอย อยู่ในอวกาศ รอวันดีคืนร้ายที่จะมาทักทายเราบนผิวโลก
ความพินาศที่เราพูดถึงอยู่นี้คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นเป็นแน่ แต่ว่า นับตั้งแต่มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกราว 4 พันล้านปีนี้ ดูเหมือนว่า ถ้าจะมีสายพันธุ์ใดที่จะป้องกันหายนะนี้ได้ก็อาจจะมีเพียงสายพันธุ์มนุษย์ ของเราเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้น
บางทีอาจจะมีคนตั้งคำถามว่า เราต้องกังวลกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ ตัวอย่างที่น่าจะพูดถึงก็คือ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ค่อนข้าง จะมั่นใจว่า เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อนมีอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งเข้าชนโลก ความรุนแรงนั้นทำให้ไดโนเสาร์ถึงกับต้องสูญพันธุ์ไปจากโลก นี่เป็นเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ที่นานมาแล้ว ถ้าจะหาเหตุการณ์ทำนองนี้ที่ใกล้ๆ กับเราหน่อยก็เมื่อ ประมาณ 49,000 ปีที่แล้ว มีอุกกาบาตที่มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กพุ่งเข้าชนโลก ในบริเวณรัฐอะริโซนาในปัจจุบัน หลักฐานที่ทิ้งไว้เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดหน้าตัด 1.2 กิโลเมตร โดยคาดว่าอุกกาบาตนี้สังหารสิ่งมีชีวิตในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรไปมากมายด้วย
ใกล้เข้ามาอีกก็ในปี พ.ศ. 2451 อุกกาบาตหิน หรือไม่ก็ชิ้นส่วนจากดาวหาง ได้พุ่งฝ่าบรรยากาศโลกเข้ามาแล้วก็เกิดการระเบิดขึ้นเหนือพื้นดินประมาณ 8 กิโลเมตรที่ทังกัสกาแถบไซบีเรีย ผลก็คือ ป่าที่ราบเป็นหน้ากลอง ไฟที่โหมไหม้ และความตายของสัตว์ป่าในพื้นที่กว่า 1,600 ตารางกิโลเมตร การระเบิดครั้งนั้นรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 10 เมกะตัน!
เฉียดฉิวเมื่อไม่นานมานี้ก็คือปี พ.ศ. 2539 ที่มีดาวเคราะห์น้อยขนาดกิโลเมตรกว่าๆ พุ่งฝ่าบรรยากาศโลกสูงจากพื้นดินประมาณ 450,000 กิโลเมตร (ไกลในสายตาคน แต่ในทางดาราศาสตร์ก็ไม่ต่างกับการเฉียดไปแค่เส้นผม) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดที่เฉียดเข้ามาใกล้ที่สุดเท่าที่เราเคยสังเกตได้ ประมาณกันว่า ถ้าลูกนี้เกิดระเบิดขึ้นมาก็คงมีความรุนแรงเทียบกับระเบิดจำนวน 5,000 -12,000 เมกะตันนั่นเลย และสิ่งที่ทำให้เราขวัญเสียมากที่สุดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ เราตรวจพบดาวเคราะห์น้อยนี้ได้เพียง 4 วันก่อนหน้าที่มันจะผ่านโลกไปเท่านั้น!
หลังจากนั้น ระบบตรวจสอบวัตถุที่จะเฉียดมาทักทายกับโลกก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว นักดาราศาสตร์ในอะริโซนา และแคลิฟอร์เนีย กลุ่มเล็กๆ 4 กลุ่ม (ซึ่งนับหัวรวมแล้ว ยังน้อยกว่าพนักงานในร้านฟาสต์ฟู้ดด้วยซ้ำ) ได้ใช้กล้องดูดาวของพวกเขาช่วยกัน เขียนแผนที่ระบุวัตถุในอวกาศที่อยู่ใกล้โลกกันขึ้นมา วัตถุเหล่านี้มีชื่อย่อว่า NEOS : Near Earth Objects
สิ่งที่เข้าข่ายเป็น NEOS ก็คือ ดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหาง ที่มีแนวทางโคจรตัดกับ แนวโคจรของโลกหรือเข้ามาเฉียดแนวโคจรของโลก ถ้า NEOS เคลื่อนที่ตัดกับ แนวโคจรของโลกโดยที่โลกของเราโคจรไปยังตำแหน่งนั้นพอดี ก็จะทำให้เกิด ความเสียหายกับโลกของเราตั้งแต่ เสียหายเป็นบางส่วน สูญสิ้นอารยธรรม หรือพินาศทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า NEOS ที่ชนเรามีขนาดใหญ่แค่ไหนต่อมาในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มผู้ริเริ่มในการล่าดาวเคราะห์น้อยกลุ่มหนึ่ง ได้รับความร่วมมือจากสถาบันเอ็มไอที, กองทัพอากาศ, ห้องปฏิบัติการลินคอล์น โดยมีเงินทุนสนับสนุนจากเพน-ทากอน พวกเขามีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกล้องดูดาวที่ทำงานร่วมกับดาวเทียมของกองทัพอากาศ กล้องถ่ายภาพ ระดับคุณภาพจากเอ็มไอที รวมทั้งระบบอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ทำให้พวกเขาสำรวจดาวหางและ ดาวเคราะห์น้อย ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ได้อย่างรวดเร็ว และมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพอากาศก็ยังเอาจริงกับเรื่องนี้ต่อไปโดยการส่งดาวเทียมจิ๋ว เพื่อค้นหาดาวเคราะห์น้อยโดยเฉพาะขึ้นไปอีกด้วย
ทีนี้ถ้าเราเกิดพบดาวหาง หรือดาวเคราะห์น้อยที่ส่อแววว่าจะทำให้เรา เดือดร้อนขึ้นจริงๆ เราจะทำอะไรต่อไป
อันดับแรก เราต้องหวังไว้ก่อนว่า เราพบมันล่วงหน้าเป็นเวลานานพอ ที่จะให้เราทำอะไรได้ เริ่มจากการส่งยานอวกาศไปสำรวจองค์ประกอบ ของดาวเคราะห์น้อยนั้นว่ามันมีโครงสร้างเป็นอย่างไร เป็นหินหรือโลหะ เนื้อแน่นหรือร่วน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลให้เราตัดสินใจเลือกวิธี ปฏิบัติการได้เหมาะสม (ปฏิบัติการในขั้นนี้จะเหมือนกับปฏิบัติการของ ยานอวกาศเนียร์-ชูเมกเกอร์ ที่กำลังสำรวจดาวเคราะห์น้อยอีรอสอยู่ในเวลานี้)
ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อลามอส และลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ก็มีแผน (ฝันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ดีๆ ในการจัดการกับ แขกตัวร้ายของเราอยู่หลายแผน พวกเขาอาจจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายมัน ให้เป็นผุยผง ถ้าดาวเคราะห์น้อยมีขนาดเล็ก แต่ถ้าลูกใหญ่ ก็อาจใช้วิธีเบี่ยงเบน ทิศทางการโคจรของมันแทนได้หากมีเวลามากพอ รวมทั้งทำการคำนวณได้อย่าง แม่นยำด้วย แผน-การบางอย่างก็อาศัยยุทธวิธีดั้งเดิมคือการระเบิดล้วนๆ แต่บางแผน ก็จะใช้สมอยึดอุกกาบาตเข้ากับเครื่องยนต์จรวด หรือเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ด้วยแสงอาทิตย์ เพื่อใช้ในการเปลี่ยนวิถีโคจรของดาวเคราะห์น้อย (วิธีการ เปลี่ยนแนวโคจรของดาวเคราะห์น้อย มีให้เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Hammer of God ของ อาเทอร์ ซี. คลาร์ก)
นับถึงต้นปีนี้ มีการค้นพบ NEOS ขนาดตั้งแต่ 0.9 กิโลเมตร (ใหญ่พอจะ สร้างความเสียหายให้โลกทั้งใบได้) ขึ้นไปเพียงครึ่งหนึ่งของที่คาดกัน (น่าจะมีจำนวน 500-1,000) เท่านั้น เป็นไปได้ว่า ในบรรดาดวงที่เรายังสำรวจ ไม่พบนั้นจะเป็นดวงที่มีเส้นทางโคจรตัดกับโลกอยู่ด้วย และบางทีอาจจะกำลัง พุ่งมาที่โลกอยู่แล้วในตอนนี้ก็ได้ โดยเฉพาะหากมีดาวหางปรากฏตัวขึ้นในทันทีทันใดแล้ว ความตระหนกตกใจก็จะยิ่งรุนแรง เพราะโดยทั่วไป ดาวหางจะมีขนาดใหญ่กว่า แถมยังมีความเร็วในการพุ่งชนมากกว่าดาวเคราะห์น้อยถึงสองเท่า นั่นคือความเสียหายก็จะมีมากกว่าด้วย ดาวหางพวกนี้มักเป็นดาวหางที่มี คาบการโคจรรอบดวง-อาทิตย์นานมาก (ดาวหางเฮล-บอพพ์ก็เป็นหนึ่งใน ดาวหางพวกนี้) เรามักจะเห็นมันก็ต่อเมื่อมันเริ่มปลดปล่อยก๊าซและมวลสาร ออกมาซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อดาวหางเดินทางมาถึงดาวพฤหัสบดี หรืออาจจะเข้ามา ใกล้กว่านั้นก็ได้ ทำให้เรามีเวลาประมาณ 18 เดือนก่อนที่มันจะมาถึงโลก อันเป็นระยะเวลาที่น้อยนิดที่จะป้องกันตัว
นอกจาก NEOS ขนาดที่ทำลายโลกแล้ว ยังมี NEOS ขนาดเล็กๆ ที่มีอานุภาพในการทำลายระดับเมือง หรือก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ในท้องทะเล อีกมากมาย ซึ่งเราเองก็เพิ่งจะตรวจพบได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของ จำนวนทั้งหมดเท่านั้นเอง
นั่นก็ทำให้เราวาดภาพในอนาคตได้ว่า อาจจะมีสักวันหนึ่งในขณะที่ เราออกไปเดินเล่นยามเย็น เรากลับเห็นแสงสว่างจ้าขึ้นอย่างฉับพลันที่ขอบฟ้า เพียงเดี๋ยวเดียวเราก็รู้สึกถึงพื้นที่สะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง กัมปนาทปานฟ้าถล่ม แล้วทันใดร่างของเราก็โดนเผาผลาญเป็นธุลีจากอากาศ ที่ร้อนยิ่งกว่าร้อน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้น
แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับเหตุผลของการเฝ้ามองฟ้า ระแวดระวังวัตถุจากฟากฟ้าที่อยู่ใกล้กับโลกของเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น